‘Akron’ เป็นเมืองหนึ่งในรัฐ Ohio สหรัฐอเมริกา ที่ไม่มีความโดดเด่นหรือชื่อเสียงเท่าไหร่นัก หลายคนอาจยังไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลยด้วยซ้ำ Akron อยู่ห่างจาก Cleveland ประมาณ 35 ไมล์ (56 กิโลเมตร) ในการสำรวจจัดอันดับเมืองที่น่าหดหู่ที่สุดในอเมริกา Akron และ Cleveland (และอีกหลายเมืองใน Ohio) มักจะติดอันดับต้นๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาพเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนัก สภาวะอากาศที่ย่ำแย่ ปัญหาคอรัปชั่น ไปจนกระทั่ง ความล้มเหลวทางการกีฬาที่ไม่สามารถคว้าแชมป์ในกีฬาประเภทใดได้เลยมายาวนานกว่า 50 ปี
ถึงตอนนี้แฟนพันธุ์แท้บาสเกตบอลบางท่านอาจเริ่มรู้สึกคุ้นว่าเรากำลังพูดถึงบ้านเกิดของนักบาสที่ดีที่สุดในยุคปัจจุบันนามว่า ‘LeBron James’
ถึงตอนนี้แฟนพันธุ์แท้บาสเกตบอลบางท่านอาจเริ่มรู้สึกคุ้นว่าเรากำลังพูดถึงบ้านเกิดของนักบาสที่ดีที่สุดในยุคปัจจุบันนามว่า ‘LeBron James’
LeBron เกิดในเดือนธันวาคม ปี 1984 ในช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เลวร้ายของรัฐ (สำหรับผู้ที่ชอบรายละเอียดลองค้นคำว่า ‘Rust Belt Region’ ดูแล้วจะเข้าใจมากขึ้น) จากที่เคยมีความสำคัญเป็นศูนย์กลางการผลิตยางของโลก ต้องประสบกับการหดตัวของอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจอย่างฉับพลัน ส่งผลต่อปัญหาความยากจนและการย้ายถิ่นฐานของประชากร จำนวนตึกร้างที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากความรุ่งเรืองแปลงไปสู่ความตกต่ำอย่างน่าใจหาย กลายเป็นเมืองที่ไร้ซึ่งความหวัง ไม่มีอะไรให้ภาคภูมิใจ เด็กรุ่นใหม่เมื่อเรียนจบก็อยากหนีออกไปไม่มีใครอยากกลับมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านเกิดตัวเอง (จากจำนวนประชากร 290,000 คนในปี 1960 ลดเหลือเพียง 199,000 คน ในปี 2010) คนรุ่นเก่าได้แต่ตั้งความหวังว่าจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นบ้าง อะไรก็ได้ให้พวกเขาได้ยึดเหนี่ยว…อะไรก็ได้…ท่ามกลางบรรยากาศเหล่านี้ละ…LeBron James นำบาสเกตบอลและความหวังที่จะได้แชมป์ทางกีฬาครั้งแรกในรอบ 50 ปี มาสู่บ้านเกิด
“ความผูกพันของผมที่มีต่อ Ohio มันยิ่งใหญ่กว่า บาสเกตบอลซะอีก” LeBron กล่าว “คนที่นั่นเห็นผมมาตั้งแต่เด็กจนโต บางครั้งผมรู้สึกว่าผมเป็นลูกชายของพวกเขา”
ตอนเด็ก LeBron มักจะเดินตามทางรถไฟและแอบย่องเข้าไปดูการแข่งอเมริกันฟุตบอลในสนามของโรงเรียน St. Vincent-St. Mary’s High School เพื่อที่จะได้ไม่ต้องจ่ายค่าเข้า พอโตมาเค้าก็เข้าเรียนในโรงเรียนนั้น และพบกับคู่รักและแม่ของลูกเค้าที่นั่น จนถึงตอนนี้โรงยิมของโรงเรียนถูกตั้งชื่อตาม LeBron เพื่อเป็นเกียรติประวัติให้แก่ความสำเร็จของเขา แม้กระทั่งตอนที่ LeBron ย้ายไปเล่นให้กับ Miami เค้าก็ยังคงเก็บบ้านที่ Akron ไว้ ไม่ขายทิ้งเหมือนเวลานักกีฬาคนอื่นย้ายทีม
ความเป็นอยู่ของ LeBron ในสมัยเด็กค่อนข้างลำบาก เค้าเติบโตมาในครอบครัวที่ฐานะไม่สู้ดีนัก มีบางช่วงที่แม่และพี่ชายไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าไฟฟ้าได้ จนต้องโดนตัดไฟ ตัดฮีตเตอร์ ในฤดูหนาว ท่ามกลางความยากลำบากเหล่านั้น สิ่งหนึ่งที่ช่วยประคับประคองให้ LeBron เติบโตมาได้อย่างทุกวันนี้คือ ความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน
“ให้พวกเค้ามาอาศัยอยู่บ้านเราได้ไหมครับ?” บรรดาเด็กๆ ในบ้านของ Wanda Reaves เพื่อนบ้านของ LeBron เอ่ยปากถามแม่ตัวเอง “มันแย่จริงๆ แค่จะคิดว่า มีคนต้องทนอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวขนาดนั้น” Wanda Reaves กล่าว
LeBron อาศัยอยู่บนโซฟาของบ้าน Reaves ประมาณ 4 เดือน หลังจากนั้นก็ต้องเร่ร่อนอาศัยไปนอนตามโซฟาของเพื่อนบ้านคนอื่นๆ อยู่เสมอ ต้องย้ายที่อยู่บ่อยครั้งจนกระทั่งช่วงหนึ่งของสมัยประถมเค้าต้องหยุดโรงเรียนกว่า 100 วัน เค้าเรียนรู้การเล่นบาสครั้งแรกจากบรรดาลูกชายของเพื่อนบ้านต่างๆ ที่เค้ามีโอกาศอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กโตกว่า แข็งแรงกว่า และมักจะตบบอลออกจากมือเค้าเสมอ หลังจากที่เอาชนะ LeBron จนเบื่อแล้วทิ้งให้เค้าเล่นต่ออยู่คนเดียว…LeBron จะอาศัยจังหวะนั้นฝึกต่อจนกว่าพระอาทิตย์จะตกและเจ้าของบ้านจะตะโกนเรียกให้เค้ากลับบ้านไปกินข้าวเย็น
หลายคนมีความเชื่อว่าการที่ LeBron ตัดสินใจกลับมาเล่นให้บ้านเกิดส่วนหนึ่งเป็นเพราะ เค้าได้รับการช่วยเหลือจากคนแถวนั้นมาตั้งแต่สมัยที่เค้ายังไม่มีอะไร จนมาวันนี้กลายเป็นนักบาสระดับซุปเปอร์สตาร์ เค้าจึงอยากตอบแทนอะไรให้บ้านเกิดบ้าง
แล้ววันนึง ใครจะเชื่อว่าในปี 2003 ทีมบาสประจำเมืองแห่งความอับโชคอย่าง Cleveland จะจับฉลากได้สิทธิดราฟท์เป็นอันดับที่ 1 ความบังเอิญ หรือโชคชะตา ที่เหมือนจะถูกใครเขียนบทมา… LeBron James เด็กที่เกิดที่นั่น…โตที่นั่น… เดินบนถนนเส้นเดียวกันกับคนที่นั่น พร้อมกับรอยสัก ‘330’ บนหัวไหล่ซึ่งบ่งบอกถึงรหัสไปรษณีย์ของ Akron จะถูกเลือกให้มาเล่นให้กับทีมบ้านเกิดตัวเอง ให้กับ ‘Cleveland Cavaliers’
ความผูกพันของ LeBron กับ Akron เกิดจาก ‘การรู้จักให้’ ของคนในชุมชนเป็นสำคัญ แม้จะเติบโตจากครอบครัวที่ยากลำบาก สังคมที่หล่อหลอมเค้ามากลับเต็มไปด้วยความเอื้อเฟื้อและมิตรไมตรีจากคนรอบข้าง เค้าได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านโดยไม่หวังผลตอบแทนอยู่เสมอ แม้กระทั่งพรสวรรค์ทางกีฬาของ LeBron ก็ยังถูกค้นพบและขัดเกลาโดยเพื่อนบ้านมาตั้งแต่สมัยเด็ก
จุดเริ่มต้นที่สำคัญของชีวิตนักกีฬาของ LeBron เกิดขึ้นในขณะที่เขากำลังเล่นอเมริกันฟุตบอลอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ ที่โตกว่า และ Bruce Kelker โค้ชฟุตบอลในระแวกนั้นกำลังมองหาผู้เล่นหน้าใหม่อยู่พอดี ก่อนหน้านั้นมีคนแนะนำให้เค้าลองจับเจ้า LeBron มาลงสนามทดสอบฝีมือดู
“คนไหนคือ LeBron?” Bruce ถามไปยังกลุ่มเด็กที่กำลังเล่นอยู่ พอทุกคนชี้ไปที่เจ้าเด็กโย่งคนหนึ่ง เค้ารู้สึกตกใจมากกับรูปร่างของ LeBron “เจ้านี่มัน 9 ขวบจริงๆ หรอฟะ” หลังจากนั้น Bruce ลองจับเด็กทุกคนมาวิ่งแข่งกัน แล้วเค้าก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็น LeBron วิ่งชนะคนอื่นอย่างง่ายดาย ตอนนั้นเค้าถึงกับต้องอุทานเสียงดัง “โอ้วววว!! เจ้านี่ยังวิ่งเร็วมากซะด้วย!!”
หลังจากนั้นไม่นาน LeBron ได้รับโอกาสให้ลงแข่งในลีกอเมริกันฟุตบอลท้องถิ่นเป็นครั้งแรกและเจ้าตัวก็วิ่งทำทัชดาวน์ระยะไกลระดับ 80 หลาได้อย่างไม่ยากเย็น ถึงจุดหนึ่งผู้ปกครองของเด็กที่ร่วมแข่งขันเริ่มบ่นว่า เจ้าเด็ก LeBron คนนั้นมัน ตัวใหญ่ แข็งแรง และวิ่งเร็วเกินเด็กคนอื่นมากเกินไป หลายคนไม่เชื่อว่าเค้าอายุเพียง 9 ขวบ จนมีการประท้วงขอดูใบสูติบัตรของ LeBron เพื่อตรวจสอบอายุ คำกล่าวหาเหล่านั้นสร้างความเสียใจให้กับ LeBron อยู่ไม่น้อย เค้าพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเองและเข้ากับคนอื่นให้ได้ เค้าเข้าตะลุมบอนในการฝึกซ้อมอย่างสุดกำลังทุกครั้งจนกว่าโค้ชจะสั่งให้หยุด Bruce จำได้ว่าตัวเองพูดกับ LeBron ในช่วงเวลานั้น “ยืดอกขึ้นซะ และจงภูมิใจกับตัวเอง”
เป็นที่รู้กันอยู่แล้วสำหรับคนแถวนั้นว่าครอบครัวของ LeBron ค่อนข้างลำบาก หลังจากที่เป็นโค้ชให้กับ LeBron ได้ไม่นาน Bruce ก็เอ่ยปากชวนให้ LeBron กับ แม่ของเขา เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านตัวเองได้เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และให้แม่ลูกได้อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น Bruce เล่าว่า เค้าจำได้เป็นอย่างดีว่า LeBron เท้าเหม็นมาก เหม็นสุดๆ จนถึงจุดหนึ่งเค้าเคยขู่ LeBron ติดตลกว่าจะโยนรองเท้าของ LeBron ทิ้งไว้ในเครื่องซักผ้าให้รู้แล้วรู้รอดไป
เมื่อเล่นฟุตบอลไปได้ซักพัก Bruce บอกเพื่อนของเขา Frankie Walker ให้ลองจับ LeBron ไปฝึกเล่นบาสจริงๆ จังๆ ดู…ครั้งแรก Frankie ลองจับ Lebron มาเล่นหนึ่งต่อหนึ่งกับลูกชายเขา ตอนนั้น LeBron ยังเลี้ยงบาสแทบไม่เป็น ชู๊ตลูกแทบไม่โดนห่วง LeBron แพ้ไปอย่างราบคาบ 7 – 21 แม้จะเล่นได้ห่วยมากแต่ Frankie ก็ตัดสินใจรับ LeBron เข้ามาอาศัยภายในบ้านของตัวเอง และตกลงที่จะเป็นโค้ชบาสให้กับเขา…พอเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน Bruce ได้โอกาสมาดู LeBron เล่นอีกครั้งหนึ่ง เค้าแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง LeBron พัฒนากลายเป็นคนละคนกับเมื่อเดือนก่อน และสามารถจบสกอร์ได้ทั้งจากมือซ้ายและขวา
เคยมีคนย้อนกลับไปถาม Bruce ว่า การที่คนในชุมชนอย่าง ตัวเค้า หรือ Frankie และคนอื่นๆ ให้การช่วยเหลือ LeBron แบบนั้นเป็นเพราะ เห็นว่า LeBron มีพรสวรรค์ทางกีฬาเป็นพิเศษรึเปล่า? ถ้าเค้าเป็นเด็กธรรมดายังจะมีคนช่วยเหลืออยู่ไม๊?
“เป็นคำถามที่ดี” Bruce ตอบ
Bruce เล่าให้ฟังต่ออีกว่า เค้าเริ่มต้นมาเป็นโค้ชเพื่อที่จะช่วยเหลือเยาวชนให้มีทางเลือกในการดำเนินชีวิต เค้าทำทุกอย่างที่เค้าทำได้สำหรับลูกศิษย์ของเค้า ไม่ว่าจะเป็นการซื้ออุปกรณ์หรือจ่ายค่าสมัครแข่งขันให้ ดังนั้นคำตอบจึงชัดเจน ไม่ว่า LeBron จะเป็นเด็กธรรมดาหรือมีพรสวรรค์พิเศษ ส่วนตัวเค้าก็ยังคงจะช่วยเหลือ LeBron อย่างแน่นอน
…นี่ละคือรากฐานความผูกพันอันยิ่งใหญ่ที่ LeBron มีต่อบ้านเกิดของเขา…
ชีวิตของเจมส์และครอบครัวเริ่มเปลี่ยนแปลงหลังจากที่เค้าเข้าสู่โลกของกีฬา เค้าเข้าร่วมแข่งขันในลีกอเมริกันฟุตบอลรุ่นอายุไม่เกิน 10 ปี ภายใต้การคุมทีมของโค้ช Bruce Kelker โค้ชกีฬาคนแรกของเค้า และเจมส์ก็กลายเป็นดาวเด่นตั้งแต่ฤดูกาลแรก เค้าทำได้ถึง 17 ทัชดาวน์ภายใน 6 เกมส์ที่ลงเล่น Bruce เล่าว่า มีครั้งหนึ่งหลังจากที่เจมส์ทำทัชดาวน์ได้ Gloria คุณแม่ของเจมส์วิ่งตามเค้าอยู่ข้างสนามด้วยความดีใจราวกับคนบ้า เพื่อเข้าไปแสดงความดีใจพร้อมกับกระชากไหล่เจมส์อย่างแรงด้วยความลืมตัว จนเจมส์ล้มลงไปกองกับพื้น
“นั่นเป็นครั้งแรกที่เค้าได้สัมผัสกับรสชาติของความสำเร็จ” โค้ชในทีมคนนึงกล่าวถึง เจมส์และคุณแม่ที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับความยากลำบากมาโดยตลอด ทัชดาวน์ครั้งนั้นเป็นความสำเร็จเล็กๆ ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา
หลังจากเล่นฟุตบอลได้ไม่นาน เจมส์ได้ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ภายในบ้านของโค้ชบาสคนแรกของเขา Frankie Walker และแชร์ห้องนอนกับลูกชายของ Frankie ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทีมฟุตบอลของเค้าด้วย เจมส์เล่าใหัฟังว่า การอาศัยอยู่กับครอบครัว Walkers ทำให้เค้าได้สัมผัสกับคำว่า “ครอบครัว” เป็นครั้งแรก Frankie มีครอบครัวที่อบอุ่นและลูกสามคน เป็นบ้านที่มีวินัยในการใช้ชีวิต คู่สามีภรรยาทำงานตั้งแต่ 9.00 – 17.00 และสอนให้เจมส์เป็นคนมีระเบียบวินัย เจมส์ได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดห้องน้ำทุกห้องในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาต้องตื่นเวลา 6.30 ทุกวันเพื่อไปโรงเรียนและทำการบ้านให้เสร็จก่อนเสมอก่อนที่จะเริ่มซ้อมบาส Frankie จับเจมส์เข้าร่วมทีมบาสรุ่นอายุ 9 ปี นอกจากให้เป็นผู้เล่น Frankie ยังให้เจมส์ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยโค้ชในทีมรุ่นอายุ 8 ปีอีกด้วย เค้าชื่อว่าการที่ได้มองเกมส์ในฐานะโค้ชจะช่วยพัฒนามุมมองและการเรียนรู้เกมส์บาสให้กับเจมส์ได้เร็วขึ้น
พัฒนาการในฐานะนักบาสของเจมส์เป็นไปอย่างก้าวกระโดด ไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่าผู้คนเริ่มรู้จักเจมส์อย่างกว้างขวางในฐานะนักบาสดาวเด่นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มีเหตการณ์หนึ่งที่ถือว่าเป็นหนึ่งในตำนานของสนามบาสที่ Akron สมัยที่เจมส์เรียนอยู่เกรด 8 (อายุประมาณ 13-14 ปี) และเป็นนักบาสของโรงเรียน Riedinger Middle School ทุกปีโรงเรียนจะจัดการแข่งขันบาสประเพณีระหว่าง ทีมครู และ ทีมนักเรียน ในอดีตที่ผ่านมาทีมครูชนะทีมนักเรียนมาโดยตลอด แต่ปีนี้เริ่มมีกระแสว่าทีมนักเรียนอาจจะชนะเพราะทีมชุดนี้มี LeBron James แถมยังเป็นชุดที่ได้แชมป์ประจำเมืองและเข้ารอบชิงแชมป์ระดับประเทศ แม้จะเป็นแค่บาสประเพณี แต่บรรดาครูเริ่มกังวลว่าทีมตัวเองจะแพ้เป็นครั้งแรก จึงได้มีการไปดึงตัวนักบาสระดับมัธยมและนักบาสในกรมตำรวจของเมืองมาร่วมทีม
เมื่อเริ่มแข่ง รูปเกมสูสีอยู่ช่วงเวลาสั้นๆ จนทีมนักเรียนเริ่มทำคะแนนห่างไปถึง 20 คะแนน ณ จุดนั้นผลการแข่งขันเริ่มคาดการณ์ได้ไม่ยาก หลังจากนั้น เจมส์ขโมยบอลจากทีมครูได้บริเวณครึ่งสนาม และหลุดเดี่ยวไปโล่งๆ และเค้าก็ทำสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิด…แม้แต่ตัวเจมส์เองก็ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน…เค้ากระโดดลอยตัวขึ้นเหนือห่วง และดังค์มันอย่างเต็มแรง เป็นดังค์ลูกแรกในชีวิตของเจมส์ ก่อนหน้านี้เค้าไม่เคยดังค์มาก่อนเลยนักเรียนทุกคนลุกฮือขึ้นด้วยความตื่นเต้น ผู้ชมทั้งสนามแตกตื่น ครูในโรงเรียนเล่าว่า หลังจากการแข่งครั้งนั้น ผู้คนเริ่มให้ความสนใจในตัวเจมส์มากขึ้นเรื่อยๆ และเจ้าเด็กคนนั้นก็เหมือนจะตัวสูงขึ้นทุกวันๆ ในตอนหลัง James Donald ครูผู้จัดการแข่งขันต้องถอดห่วงที่เจมส์ดังค์มาเก็บไว้เป็นอนุสรณ์
เมื่อเข้าสู่ระดับมัธยมปลาย เจมส์ตัดสินใจเลือกเข้าเรียนที่ St. Vincent–St. Mary High School เค้าเป็นดาราของทีมตั้งแต่ปีแรกโดยทำเฉลี่ย 21 แต้ม 6 รีบาวด์ต่อเกมส์ และพาทีมชนะ 27 เกมส์รวดคว้าแชมป์ระดับดิวิชั่น 3 ของรัฐ ชื่อเสียงของเจมส์ดังอย่างกว้างขวางในระดับประเทศ แฟนบาส แมวมอง และกองเชียร์ต่างแย่งตั๋วเข้าชมเกมส์ที่เจมส์แข่งทั้งที่เป็นแค่ลีกบาสระดับมัธยม ความสนใจในตัวเจมส์ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดนึง เมื่อเจมส์เข้าสู่ระดับจูเนียร์ ESPN ตัดสินใจถ่ายทอดสดทั่วประเทศ เกมที่ทีม St. Vicncent-St. Mary ซึ่งขณะนั้นอยู่อันดับที่ 23 ต้องมาเจอกับ ทีมอันดับหนึ่งอย่าง Oak Hill Academy ซึ่งนำทีมโดย Carmelo Anthony เป็นการถ่ายทอดสดเกมบาสระดับมัธยมเป็นครั้งแรกของ ESPN ในรอบ 13 ปี และเจมส์ก็พาทีมพลิกล็อคชนะทีมอันดับหนึ่งไปได้ 65-45 ท่ามกลางสายตาของคนดูทั่วประเทศ โดยเจมส์ทำไปถึง 31 แต้ม 13 รีบาวน์ กับอีก 6 แอซซิสต์ ถึงตอนนั้น หลายคนกล่าวว่า เค้าเป็นนักบาสระดับมัธยมที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในประวัติศาสตร์
“ผมเคยเห็นผู้เล่นเก่งๆ มามากมาย แต่เขาเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดที่ผมเคยเจอ” Steve Smith โค้ชของทีม Oak Hill กล่าว
“ความเข้าใจในเกมส์ พลังในการทะลุทะลวง รูปร่าง และความสามารถในการจ่ายบอล เขาคล้ายกับเมจิก จอนห์สัน” Dick Vitale กล่าว “เช่นเดียวกับผู้เล่นที่พิเศษมากๆ เขามีความสามารถเฉพาะตัวที่จะยกระดับเพื่อนร่วมทีมขึ้น”
นอกเหนือจากความสามารถและพรสวรรค์ เจมส์ยังมีวินัยของนักกีฬาที่ดีเยี่ยม Dru Joyce โค้ชสมัยเด็กของเจมส์บอกว่า ตั้งแต่ 10 ขวบจนถึงมัธยม เจมส์ขาดซ้อมเพียงแค่ครั้งเดียว เพื่อที่จะไปเยี่ยมพ่อบุญธรรมที่โรงพยาบาล
คำชื่นชมในความสามารถของเจมส์หลั่งไหลมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เจมส์ไม่ไช่แค่นักบาสระดับมัธยมที่ “พร้อม” จะเล่นใน NBA แต่เขาเป็นนักบาสมัธยมที่ “สามารถ” สร้างความแตกต่างใน NBA ได้ทันที และเป็นตัวเต็งที่จะเข้าสู่ NBA ในฐานะดราฟท์อันดับหนึ่งอย่างแน่นอน
แล้วใครจะเชื่อว่าในปี 2003 ทีมบาสประจำเมืองแห่งความอับโชคทางด้านกีฬาอย่าง Cleveland จะจับฉลากได้สิทธิดราฟท์เป็นอันดับที่ 1 ความบังเอิญ หรือโชคชะตา ที่เหมือนจะถูกใครเขียนบทมา… LeBron James เด็กที่เกิดที่นั่น…โตที่นั่น… เดินบนถนนเส้นเดียวกันกับคนที่นั่น พร้อมกับรอยสัก ‘330’ บนหัวไหล่ซึ่งบ่งบอกถึงรหัสไปรษณีย์ของ Akron จะถูกเลือกให้มาเล่นให้กับทีมบ้านเกิดตัวเอง ให้กับ ‘Cleveland Cavaliers’
‘คำสาปแห่งคลีฟแลนด์’ – หากพูดถึงเมืองที่ล้มเหลวทางกีฬาที่สุดในอเมริกา ชื่อ คลีฟแลนด์จะปรากฎขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งอยู่เสมอ ทีมกีฬาอาชีพของคลีฟแลนด์ไม่ว่าจะเป็น Cleveland Browns (อเมริกันฟุตบอล), Cleveland Indians (เบสบอล), หรือ Cleveland Cavaliers (บาส) ไม่เคยได้แชมป์ใดๆ มากว่า 52 ปี และทำสถิติเป็นเมืองที่ชวดแชมป์ยาวนานที่สุดในอเมริกา คือกว่า 150 ฤดูกาล (เมื่อรวมทุกกีฬา) จัดว่าเป็นเมืองที่โชคร้ายที่สุดหรือถึงขั้นต้องคำสาปทางกีฬาก็ว่าได้
เดือนพฤษภาคม ปี 2003 เลอบรอน เจมส์ มีอายุครบ 18 ปี กำลังจะเรียนจบระดับชั้นมัธยมในอีกไม่กี่สัปดาห์ และเป็นนักบาสที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดที่กำลังจะเข้าร่วมการดราฟท์สู่ NBA นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่และวุ่นวายสำหรับเลอบรอนไม่ไช่น้อย กับการที่ต้องมีเครื่องบินเจ็ทหลายต่อหลายลำมาจอดรับเค้าหลังเลิกเรียนเพื่อไปพบปะกับบรรดาเจ้าของทีมต่างๆ แน่นอนทุกทีมใน NBA สนใจในตัวเลอบรอน เค้าเป็นว่าที่ดราฟท์อันดับหนึ่งแบบไม่ต้องสงสัย
บริษัทรองเท้าชื่อดังต่างก็แย่งชิงที่จะเซ็นสัญญารับเลอบรอนเข้ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์รองเท้าตัวเอง โดยที่ไม่ต้องรอดูผลงานจริงของเค้าใน NBA หรือแม้กระทั่งรอดูว่าเค้าจะถูกดราฟท์ไปอยู่ในทีมไหนเลยด้วยซ้ำ เลอบรอนตกลงรับข้อเสนอจาก Nike ด้วยการเซ็นสัญญามูลค่ากว่า 90 ล้านเหรียญ โดยปฏิเสธข้อเสนอเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าจาก Reebok และเมื่อรวมกับสัญญาอื่นๆ มูลค่าทั้งหมดขึ้นไปถึงระดับ 100 ล้านเหรียญ ถือเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก เพราะแชมป์ NBA 3 สมัยอย่าง Kobe Bryant เซ็นสัญญากับ Nike ในปีเดียวกันด้วยมูลค่าเพียงประมาณ 45 ล้านเหรียญ
วันที่ 22 พฤษภาคม 2003 เป็นวันตัดสินชะตาว่าใครจะมีสิทธิคว้าตัว เลอบรอน เจมส์ เข้าทีม มันคือ วันจับฉลากคัดเลือกว่าทีมใดจะได้สิทธิดราฟท์อันดับที่เท่าไหร่ ซึ่งโดยปกติการจับฉลากจะทำเป็นเพียงพิธีการคั่นเวลาในช่วงพักครึ่งของการแข่งรอบเพลย์ออฟ แต่ในปีนั้น เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่มีการจัดเป็นรายการพิเศษและออกอากาศในช่วง Prime Time ทางช่อง ABC ตามหลักแล้วทีมที่มีสถิติย่ำแย่ที่สุดจะมีโอกาสดีกว่าในการจับฉลากได้สิทธิดราฟท์อันดับหนึ่ง ในขณะนั้นทีมที่มีสถิติย่ำแย่ที่สุดสองทีมคือ Cleveland Cavaliers และ Denver Nuggests ต่างมีโอกาสประมาณ 22.5% ซึ่งก็ไม่ได้เป็นหลักประกันอะไรนักว่าจะจับฉลากชนะ และทีมที่โอกาสดีสุดก็ไม่ได้ชนะการจับฉลากมาตั้งแต่ปี 1990 แล้ว
ถ้าพูดถึงเรื่องดวงทางกีฬาคงไม่มีใครคิดว่าเมืองต้องคำสาปอย่างคลีฟแลนด์จะจับฉลากได้…แต่เมื่อซองถูกเปิดออกมาปรากฎเห็นเป็นโลโกทีม Cleveland Cavaliers ที่ได้สิทธิดราฟท์อันดับหนึ่ง…เจ้าของทีม ชาวเมืองคลีฟแลนด์ แฟนบาสเกตบอล และเลอบรอน ทุกคนต่างตะโกนลั่น กระโดดด้วยความดีใจ ทุกคนรู้ทันทีว่า ‘เลอบรอน เจมส์ เด็กจากเมือง Akron รัฐโอไฮโอ กำลังจะมาเล่นให้กับทีมบ้านเกิด
วันที่ 29 ตุลาคม 2003 คือวันที่เลอบรอน จะต้องลงเล่นใน NBA เป็นเกมแรก เค้าเป็นผู้เล่นรุกกี้ที่ถูกจับตามองมากที่สุดในลีก หลายคนไม่มั่นใจว่าเลอบรอนจะสามารถแบกรับความคาดหวังและความกดดันระดับนั้นได้มากขนาดไหน นักบาสที่โดดเด่นระดับมัธยมหรือมหาวิทยาลัยไม่ได้ทำผลงานใน NBA ได้ดีเสมอไป อย่างเช่นกรณีของ Kwame Brown เจ้าเด็กมัธยมคนแรกที่ถูกดราฟท์เข้า NBA เป็นอันดับหนึ่ง โดย Washington Wizards ที่มี ไมเคิล จอร์แดน เป็นเจ้าของทีม ก็ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังและถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในการดราฟท์ที่ล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่มีใครรู้ว่าเด็กมัธยมคนที่สองที่ถูกดราฟท์ในอันดับหนึ่งอย่าง เลอบรอน จะประสบความสำเร็จหรือไม่ หลายคนรวมรวมทั้งโค้ชในตำนานอย่าง Phil Jackson ให้ความเห็นว่า เด็กระดับมัธยมยังไม่โตพอที่จะมาเล่นใน NBA
ในช่วงเกมส์ก่อนเปิดฤดูกาล (preseason) เลอบรอน ก็ทำผลงานไม่ได้น่าชื่นใจนัก เขายิงลงเพียง 8 ลูก จากการยิง 31 ครั้ง ด้วยความแม่นยำแค่ประมาณ 30% มีบางช่วง ทีมตรงข้ามถึงกับประกบเค้าแบบห่างๆ และท้าให้เค้าชู๊ตเลยด้วยซ้ำ
“คุณซ้อมมาเพียงพอรึยัง?” นักเขียนข่าวกีฬาชั้นนำระดับประเทศคนหนึ่งกล่าวถึงเลอบรอน หลังจากที่ได้เห็นเลอบรอนซ้อมยิงก่อนการเล่นช่วง preseason
“หลายคนอยากเห็นเขาล้มเหลว” Kevin Ollie เพื่อนร่วมทีมของเลอบรอนในขณะนั้นกล่าว
“ผมประหม่า” เลอบรอน ให้สัมภาษณ์ย้อนหลังถึงความรู้สึกก่อนที่จะลงเล่นใน NBA เกมแรกของชีวิต “คืนก่อนหน้านั้น ผมนอนไม่หลับเลย ปกติผมจะนอนซักงีบก่อนลงแข่งทุกครั้ง แต่ในวันนั้นผมนอนไม่ได้เลยจริงๆ แม้กระทั่งจะยืดตัวก่อนเล่นก็ทำไม่ได้ มีตากล้องประมาณ 150 คนอยู่บนสนาม ผมไม่รู้ว่าพวกเขาปล่อยให้มันเกิดเหตการณ์แบบนั้นได้อย่างไร และมีกล้องอีกประมาณ 190 ตัวอยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อตอนที่ผมมาถึง”
ท่ามกลางความคาดหวัง ความกดดัน ความอิจฉา ความต้องการที่จะเห็นเขาล้มเหลว…เกมแรกใน NBA ของเลอบรอน กลับกลายเป็นหนึ่งในเกมส์ที่น่าประทับใจที่สุดในชีวิตการเล่นของเขา ไม่ไช่ในแง่ของการทำคะแนน หรือ สถิติโดยรวม แต่ในแง่ของการแบกรับความคาดหวังและการตอบรับต่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความสามารถของเขา ในควอเตอร์แรก เค้าทำไปถึง 12 คะแนน 3 แอสซิสท์ 2 รีบาวน์ และ 2 สตีล และเต็มไปด้วยไฮท์ไลท์อย่างการดังค์ จ่ายโดยไม่มอง (No-look Pass) หรือ ลูกเฟดอเวย์ พูดอีกนัยนึงก็คือ เลอบรอนใช้เวลาเพียงแค่ 12 นาทีเท่านั้น ในการแสดงให้แฟนบาสทั่วโลกเห็นว่า เค้าคือ “ของจริง”
“ตอนที่พวกเราเข้าไปในสนาม ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเลอบรอนจะทำอะไรได้บ้าง” Paul Silas โค้ชของ Cavs ในขณะนั้นกล่าว “ผมคิดว่าเขาคงทำได้ดี แต่ไม่คิดว่าจะดีขนาดนั้น มันเหลือเชื่อมากจริงๆ”
หลังจากจบเกม เลอบรอนทำไปทั้งหมด 25 คะแนน ยิงลง 12 จาก 20 ครั้ง กับอีก 9 รีบาวน์ 6 แอสซิสต์ และ 4 สตีล ถึงแม้ว่า Cavs จะแพ้ให้แก่ Kings ในวันนั้น แต่สิ่งที่เลอบรอนทำได้ ถือเป็นหนึ่งในเกมเปิดตัวที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของลีก
เลอบรอน พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเค้าไม่ไช่แค่เด็กมัธยมที่เล่นใน NBA ได้ แต่เค้าคือเด็กมัธยมที่ “สามารถ” สร้างความแตกต่างในลีกได้ทันที เมื่อจบฤดูกาลแรก เลอบรอนทำสถิติเฉลี่ยอยู่ที่ 20.9 คะแนน 5.9 แอสซิสท์ และ 5.5 รีบาวน์ ช่วยให้ Cleveland Cavaliers ชนะมากขึ้น 18 เกมส์เมื่อเทียบจากฤดูกาลที่แล้ว ในฤดูกาลถัดไป เค้านำทีมให้ชนะเกินกว่า 50% ของเกมส์ทั้งหมด ในปีที่สาม เค้าก็สามารถพาทีมเข้ารอบเพลย์ออฟได้สำเร็จ และในปีที่สี่ เลอบรอนก็พาทีมเข้ารอบชิง NBA Finals ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ Cleveland Cavaliers แม้สุดท้ายจะพ่ายให้แก่ Spurs อย่างราบคาบ 0 – 4 เกมส์ ในรอบชิงครั้งนั้นก็ตาม แต่มันยากที่จะเชื่อว่า นักบาสที่พึ่งเล่น NBA มาเพียง 4 ปี จะสามารถนำทีมที่มีผู้เล่นหลักอย่าง Sasha Pavlovic, Drew Gooden, Larry Hughes และ Zydrunas Ilgauskas เข้าสู่รอบ NBA Finals ได้
ในเวลาเพียงแค่ 4 ปี เมืองต้องคำสาปอย่างคลีฟแลนด์ก็มีประกายความหวังที่จะคว้าแชมป์แรกในรอบ 50 ปี ขึ้นมา และถ้าจะมีใครซักคนที่ทำลายคำสาปนั้น คนที่เหมาะสมที่สุดก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เด็กที่เกิดและเติบโตจากเมืองนั้น ความรัก ความผูกพัน ความคาดหวัง ระหว่าง เลอบรอน กับ คลีฟแลนด์ มันถูกหล่อหลอมพัฒนามาจนถึงจุดสูงสุด เลอบรอน ไม่ไช่แค่นักบาสคนหนึ่งอีกต่อไป เค้าคือ ตัวแทนแห่งความหวังของชาวคลีฟแลนด์ทุกคน
และเขาก็ทำให้ Cleveland Cavaliers เป็นแชมป์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น