Miami Heat
ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1988
ประเทศ: อเมริกา
เมือง Miami
ไมอามี ฮีท เปิดสนาม อเมริกัน แอร์ไลน์ส อารีนา ต้อนรับการมาเยือนของ โอคลาโฮมา ซิตี ธันเดอร์ ซึ่ง เจ้าบ้าน ต้องการชัยชนะในเกมนี้ เพื่อปิดซีรีส์ด้วยการคว้าตำแหน่งแชมป์ NBA และจะเป็นการคว้าโทรฟี "แลร์รี โอ ไบรอัน" ครั้งแรกในชีวิตของ เลอบรอน เจมส์ หลังจากเป็นผู้ผิดหวังในการเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ 2 ครั้ง ที่ผ่านมา และครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ใกล้เคียงที่สุดกับการคว้าแชมป์ของ "แอลบีเจ" และจะเป็นแชมป์สมัยที่ 2 ของ ดเวย์น เหวด นับตั้งแต่ปี 2006 หลังจากการพบกัน 4 เกมที่ผ่านมา ฮีท เป็นฝ่ายนำอยู่ 3-1 เกมไมอามี ฮีท เครื่องร้อนตั้งแต่ครึ่งแรก โดออาศัยการยิง 3 คะแนนที่แม่นยำกว่า ขณะที่ โอคลาโฮมา ซิตี ธันเดอร์ กลับทำเปอร์เซ็นต์การชู้ต ฟิลด์ โกล์ ค่อนข้างต่ำ ทำให้ ฮีท เป็นฝ่ายนำ 59-49 หลังจากจบครึ่งแรก ออกสตาร์ทครึ่งหลัง ธันเดอร์ พยายามลดช่องว่างของคะแนนลงมา แต่ก็ยังคงหาห่วงไม่เจอ และ ดิเร็ค ฟิชเชอร์ การ์ดตัวเก๋าชอง "โอเคซี" มาเสียฟาวล์รุนแรงจากการไปขวาง เลอบรอน เจมส์ จังหวะทำคะแนน ช่วง 4:43 นาทีที่เหลือของควอเตอร์ที่ 3 จึงถูกทิ้งห่างออกไปอีก 63-80 อีกทั้ง ทีมเยือน ยังมาถูกรัน 8-15 หลับจบควอเตอร์ดังกล่าว ควอเตอร์สุดท้าย เจ้าบ้าน เล่นแบบประคองตัวและเอาชนะไปได้ 121-106 ปิดซีรีส์ 4-1 เกม คว้าแชมป์ NBA ไปครอง และเป็นครั้งที่ 2 ที่ แชมป์ฝั่งตะวันออก กวาดชัยชนะ 3 เกมรวดที่บ้านของตนเอง ในระบบการเล่นแบบ 2-3-2 หลังจากที่เคยทำกับ ดัลลัส แมฟเวอร์ริกส์ เมื่อปี 2006เลอบรอน เจมส์ ผู้เล่นทรงคุณค่าของรอบชิงชนะเลิศ NBA ยังคงเป็นผู้ทำคะแนนสูงสุดของทีม โดยจัดการคนเดียว 26 คะแนน 10 รีบาวด์ กับ 13 แอสซิสต์ คริส บอช ทำ 24 คะแนน ดเวย์น เหวด ทำ 20 คะแนน และยังได้กองหนุนอย่าง ไมค์ มิลเลอร์ ซึ่งยิง 3 แต้ม ได้อย่างแม่นยำ ช่วยทำอีก 23 คะแนน ส่วน เควิน ดูแรนท์ ทำ 32 คะแนน กับ 11 รีบาวด์ รัสเซลล์ เวสต์บรูก ซึ่งวันนี้ทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ทำ 19 คะแนน และ เจมส์ ฮาร์เดน ที่โชว์ฟอร์มดีเมื่อสาย ทำ 19 คะแนน
LeBron James ผู้เล่นทรงคุณวุฒิ
เจมส์เป็นผู้เล่นที่มีพรสวรรค์และความสามารถหลากหลายคนหนึ่งในเอ็นบีเอ มีความสูง 6 ฟุต 8 นิ้ว และหนัก 252 ปอนด์ (หนัก 245 ปอนด์เมื่อตอนดราฟคัดตัว) ถึงแม้ว่าจะเล่นในตำแหน่งสมอลฟอร์เวิร์ดเป็นหลัก เจมส์สามารถเล่นตำแหน่งพอยท์การ์ด และชู้ตติ้งการ์ดอีกด้วย เจมส์มีสายตาที่ดี ทักษะในการส่งลูก และการแบ่งลูกให้ผู้เล่นอื่นได้เล่น ทำให้ผู้คนมักเปรียบเทียบเขากับแมจิก จอห์นสัน และเปรียบเทียบทักษะทางด้านกีฬาและความสามารถในการทำคะแนนกับไมเคิล จอร์แดน ถึงแม้ว่าจะยังอายุน้อยแต่หลายคนก็คาดเดาว่าเขาจะกลายเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในตลอดกาล
ระดับไฮสกูล l เลอบรอน เจมส์ LeBron James : นักกีฬานักบาสเกตบอล
เจมส์เล่นบาสเกตบอลในระดับไฮสกูล (ระดับการศึกษามัธยมปลายสี่ปีของสหรัฐอเมริกา) ที่ St. Vincent-St. Mary High School ในเมืองอะครอน โอไฮโอ โดยเล่นในตำแหน่งพอยท์การ์ด ปีนั้นทีมทำสถิติชนะรวด 27 นัดโดยไม่แพ้เลย และได้เป็นแชมป์ของรัฐ ปีต่อมาเขาทำได้เฉลี่ย 27.8 แต้ม 7.5 รีบาวด์ 5.9 แอสซิสต์ และ 4 สตีล ได้แชมป์อีกสมัย และยังได้ถูกเลือกเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลยอดเยี่ยมในตำแหน่ง “Mr. Basketball” ของมลรัฐโอไฮโอ และ “All-USA First Team” ของหนังสือพิมพ์ USA Today
ปีที่สามถึงแม้ว่าเจมส์ทำได้ 29.7 คะแนน และ 8.4 รีบาวด์ และได้รับเลือกเป็น Mr. Basketball และ All-USA First Team อีกครั้ง ช่วงนี้เองที่เจมส์ได้รับฉายาว่า คิงเจมส์ (King James) แต่ทีมไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ เจมส์พยายามขอเข้าดราฟในเอ็นบีเอแต่ก็ได้ถูกปฏิเสธเนื่องจากกฎที่ว่าผู้เล่นต้องจบไฮสกูลถึงจะทำการคัดตัวได้ การเรียกร้องดังกล่าวทำให้เขาได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก เจมส์ได้ปรากฏบนนิตยสารหลายฉบับ มีบุคคลมีชื่อเข้าชมเกมที่เขาเล่น และหลายเกมก็ถูกถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ปีนั้นทีมไฮสกูลของเจมส์ก็ได้แชมป์อีกครั้ง เขาได้เข้าร่วมเล่นในเกมออลสตาร์ (all-star) ต่าง ๆ และได้รับตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) นอกเหนือจาก Mr. Basketball และ All-USA First Team
ระดับเอ็นบีเอ l เลอบรอน เจมส์ LeBron James : นักกีฬานักบาสเกตบอล
เจมส์ ถูกคัดเลือกเป็นคนแรกในดราฟปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) โดยทีมคลีฟแลนด์ คาวาเลียส์ เขาได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างมากถึงกับได้เซ็นสัญญารองเท้ากับไนกี (Nike) มูลค่า 90 ล้านเหรียญสหรัฐก่อนที่จะเล่นในเอ็นบีเอเกมแรกด้วยซ้ำ และเขาก็ไม่ทำให้แฟนผิดหวังเมื่อทำได้เฉลี่ยตลอดฤดูกาล 20.9 แต้ม 5.4 รีบาวด์ 5.9 แอสซิสต์ และได้รับรางวัลผู้เล่นใหม่ยอดเยี่ยม (Rookie of the Year) แต่ทีมก็ไม่ได้เข้าเล่นในเพลย์ออฟ
ช่วงหมดฤดูกาลเขาเข้าร่วมเล่นในทีมโอลิมปิกของสหรัฐอเมริกาที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ จากทักษะที่ได้เรียนรู้ในฤดูกาลต่อมาเจมส์เป็นคนแรกที่ทำ 10 คะแนน 10 รีบาวด์ และ 10 แอสซิสต์ (หรือ ทริปเปิล-ดับเบิล) ในเกมที่อายุน้อยที่สุด และทำคะแนน 50 แต้มในเกมเดียวที่อายุน้อยที่สุดอีกด้วย แต่ทีมคาวาเลียส์ก็ยังเข้ารอบเพลย์ออฟไม่ได้
ในฤดูกาล 2005-06 คาวาเลียส์ได้ผู้เล่นใหม่มาเสริมทีมอาทิเช่น ลาร์รี ฮิวส์ (Larry Hughes) แฟนและนักข่าวต่างหวังว่าเจมส์จะสามารถนำทีมเข้าเพลย์ออฟได้ในปีนี้
Dwyane Wade ผู้เล่นทรงคุณวุฒิ
Dwyane Wade
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ : ดเวน เหว็ด
วันเกิด : 17 มกราคม 1982 (อายุ 26 ปี)
สัญชาติ : อเมริกัน
ส่วนสูง : 6 ฟุต 4 นิ้ว (1.93 เมตร)
น้ำหนัก : 216 ปอนด์ (98 กิโลกรัม)
ลีกอาชีพ : เอ็นบีเอ
ทีมปัจจุบัน : ไมอามี่ ฮีท
เบอร์เสื้อ : 3
เล่นอาชีพ : ปี 2003-ปัจจุบัน
ชื่อ : ดเวน เหว็ด
วันเกิด : 17 มกราคม 1982 (อายุ 26 ปี)
สัญชาติ : อเมริกัน
ส่วนสูง : 6 ฟุต 4 นิ้ว (1.93 เมตร)
น้ำหนัก : 216 ปอนด์ (98 กิโลกรัม)
ลีกอาชีพ : เอ็นบีเอ
ทีมปัจจุบัน : ไมอามี่ ฮีท
เบอร์เสื้อ : 3
เล่นอาชีพ : ปี 2003-ปัจจุบัน
ประวัติความเป็นมา
ดเวน เหว็ด (Dwyane Wade) หรือชื่อเต็ม ดเวน ไทโรน เหว็ด จูเนียร์ (Dwyane Tyrone Wade, Jr.) เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม 1982 เป็นนักบาสเกตบอลชาวอเมริกันชื่อดังที่เล่นในลีกเอ็นบีเอ (NBA) มีฉายาว่า แฟลช (Flash) และ ดี-เหว็ด (D-Wade) ปัจจุบันเล่นอาชีพอยู่กับทีม ไมอามี ฮีท โดยเขาเคยได้รับนักกีฬายอดเยี่ยม จาก Sports Illustrated ซึ่งเป็นนิยสารกีฬาชื่อดังของสหรัฐฯ และ ผู้เล่นทรงคุณค่าของเอ็นบีเอรอบไฟนอล ในปี 2006 (NBA Finals MVP) อีกด้วย
เหว็ด ก้าวเข้าสู่วงการบาสเกตบอลเอ็นบีเอจากการดราฟฟ์เป็นอันดับ 5 ในปี 2003 และเขาก็สามารถสร้างชื่อให้กับตัวเองจนกลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่ประสบความสำเร็จมาที่สุดคนหนึ่งในศึกยัดห่วงเอ็นบีเอ็นทุกวันนี้ โดยเขามีชื่อติดทีมดาวรุ่งประจำฤดูกาลในซีซั่นแรกของตัวเอง รวมถึงติดทีม ออล-สตาร์ ในปีถัดมาอีกด้วย นอกจากนี้ เหว็ด ยังมีส่วนสำคัญที่นำทีม ไมอามี ฮีท คว้าแชมป์เอ็นบีเอ ได้สำเร็จในประวัติศาสตร์ หลังจากเล่นให้กับทีมเป็นฤดูกาลที่ 3 (ปี 2006) ด้วยการเอาชนะ ดัลลัส มาเวอริคส์ มาได้ในเกมรอบชิงชนะเลิศ
วัยเด็กดเวน เหว็ด เกิดทางตอนใต้ของเมืองชิคาโก้ มีพ่อชื่อ ดเวน เหว็ด ซีเนียร์ (Dwyane Wade, Sr.) กับแม่ชื่อ โจลินดา เหว็ด (Jolinda Wade) และเขามีพี่สาวอีกคนชื่อว่า เทลกิล ซึ่งเขามักพูดเสมอว่ามีพี่สาวของเขาคือคนที่พาเขาไปในทางที่ถูกต้อง ทั้งนี้ พ่อแม่ของเหว็ดหย่าร้างกัน โดย ดเวน อาศัยอยู่กับพ่อและแม่เลี้ยงเขาในเมือง รอบบินส์ (มลรัฐอิลลินอยส์)
ระดับไฮสคูล
เหว็ด เรียนไฮสคูลที่ Harold L. Richards High School ที่เมืองโอคลอว์น (Oak Lawn) มลรัฐอิลลินอยส์ เหว็ดไม่ได้ลงเล่นมากนักในปีสอง เพราะลูกพี่ลูกน้องของเขา ดิมิทริส แม็คแดเนีล (Demetris McDaniel) เป็นดาราในทีม เหว็ดตัวสูงขึ้นอีกสี่นิ้ว
ตอนขึ้นปีสาม และเล่นได้เฉลี่ย 20.7 แต้ม 7.6 รีบาวด์ ทำผลงานรวม 100 แอสซิสต์ 73 สตีล เมื่อเขาอยู่ปีสี่ เหว็ดก็สามารถทำคะแนนได้เฉลี่ย 20.7 แต้ม 11.0 รีบาวด์ และช่วยให้ทีมมีสถิติชนะ 24 แพ้ 5 ได้เข้าชิงแชมป์ในสาย เขาทำลายสถิติของโรงเรียน โดยได้ 676 แต้มและ 106 สตีลภายในหนึ่งฤดูกาล
นอกจากด้านบาสเกตบอลแล้ว เหว็ดยังเป็นนักวิ่งที่มีชื่อในระดับไฮสคูล มีมหาวิทยาลัยเพียงสามแห่งเท่านั้นที่เสนอทุนการศึกษาให้เขา ได้แก่ มหาวิทยาลัยมาร์เคว็ต (Marquette University), มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์สเต็ต (Illinois State) และ มหาวิทยาลัยดีพอล (DePaul University)
ระดับมหาวิทยาลัย
เหว็ด เล่นให้กับมหาวิทยาลัยมาร์เคว็ตในเมืองมิววอร์คกี ปีแรกเหว็ดไม่ได้ลงเล่นเนื่องจากติดปัญหาด้านการเรียน เมื่อเขามีสิทธิ์ลงเล่นในปีสอง (ปี ค.ศ. 2001-2002) เขาเป็นคนทำคะแนนสูงสุดในทีม ได้คะแนนเฉลี่ย 17.8 แต้มต่อเกม และยังทำได้ 6.6 รีบาวด์และ 3.4 แอสซิสต์ต่อเกม ให้ทีมมีสถิติชนะ 26 แพ้ 7 ซึ่งดีที่สุดนับจากฤดูกาล 1993-94 ต่อมาในปี 2003 เหว็ดเป็นคนทำคะแนนสูงสุดอีกครั้งที่ 21.5 คะแนนต่อเกม มาร์เคว็ตได้เป็นแชมในสาย Conference USA เป็นครั้งแรกด้วยสถิติชนะ 27 แพ้ 6 และเข้าไปเล่นถึงรอบสี่ทีมสุดท้ายในการแข่งชิงแชมป์ระดับมหาวิทยาลัยของเอ็นซีดับเบิลเอ
เหว็ด เล่นให้กับมหาวิทยาลัยมาร์เคว็ตในเมืองมิววอร์คกี ปีแรกเหว็ดไม่ได้ลงเล่นเนื่องจากติดปัญหาด้านการเรียน เมื่อเขามีสิทธิ์ลงเล่นในปีสอง (ปี ค.ศ. 2001-2002) เขาเป็นคนทำคะแนนสูงสุดในทีม ได้คะแนนเฉลี่ย 17.8 แต้มต่อเกม และยังทำได้ 6.6 รีบาวด์และ 3.4 แอสซิสต์ต่อเกม ให้ทีมมีสถิติชนะ 26 แพ้ 7 ซึ่งดีที่สุดนับจากฤดูกาล 1993-94 ต่อมาในปี 2003 เหว็ดเป็นคนทำคะแนนสูงสุดอีกครั้งที่ 21.5 คะแนนต่อเกม มาร์เคว็ตได้เป็นแชมในสาย Conference USA เป็นครั้งแรกด้วยสถิติชนะ 27 แพ้ 6 และเข้าไปเล่นถึงรอบสี่ทีมสุดท้ายในการแข่งชิงแชมป์ระดับมหาวิทยาลัยของเอ็นซีดับเบิลเอ
ผลงานที่น่าจดจำที่สุดในการแข่งชิงแชมป์ของเหว็ต น่าจะเป็นตอนแข่งชิงในรอบ มิดเวสต์รีเจียนนอลไฟนอล ตอนที่แข่งกับมหาวิทยาลัยเคนทักกีซึ่งถือเป็นทีมในอันดับหนึ่งในสาย เหว็ดทำทริปเปิล-ดับเบิล ได้ 29 คะแนน 11 รีบาวด์ 11 แอสซิสต์ การเล่นที่เด่นของเหว็ดทำให้เขาตัดสินใจเข้าดราฟตัวผู้เล่นเอ็นบีเอในปีนั้น
ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 มาร์เคว็ต ประกาศจะรีไทร์หมายเลขเสื้อของเหว็ดตอนพักครึ่งของเกมระหว่างมาร์เคว็ตกับมหาวิทยาลัยโพรวิเดนซ์
อาชีพการเล่นเอ็นบีเอ
2003-2004
2003-2004
เหว็ด ถูกดราฟเป็นอันดับที่ห้าในการดราฟของเอ็นบีเอในปี 2003 โดยไมอามี ฮีท และกลายเป็นดาวในทีมทันที เขาทำได้ 16 คะแนน 4 รีบาวด์ และ 4 แอสซิสต์ในปีแรก และยังทำผลงานได้ดีในรอบเพลยออฟโดยเฉพาะตอนที่เจอกับอินเดียน่า เพเซอรส์ในรอบก่อนชิงแชมป์คอนเฟอเรนซ์ตะวันออก แต่ว่าในปีนั้นผู้เล่นหน้าใหม่อีกสองคนคือ คาเมโล แอนโทนี่ และ เลอบรอน เจมส์ กลับที่สนใจของสื่อมวลชนมากกว่า จากความสำเร็จในปีแรกของ เหว็ด เขาก็ได้มีชื่ออยู่ในทีมดาวรุ่งเอ็นบีเอ ประจำปี 2004 รวมถึงได้รับโอกาสในการคัดตัวเป็นผู้เล่นทีมชาติสหรัฐอีกด้วย
2004-2005
เมื่อแชคิล โอนีลถูกเทรดจากทีมลอสแอนเจลิส เลเกอร์สมายังฮีท ผลงานของเหว็ดดีขึ้นในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นคะแนนเฉลี่ย แอสซิสต์ และ รีบาวด์ ได้รับเลือกในเกมออล-สตาร์ ฮีทขยับผลงานจากชนะ 42 แพ้ 40 ในปีก่อนหน้ามาเป็น ชนะ 59 แพ้ 23 หรือดีขึ้นถึง 17 เกม และเป็นสถิติแพ้ชนะที่ดีที่สุดในคอนเฟอเรนซ์ตะวันออก
ในรอบเพลย์ออฟ 2005 รอบแรกกับนิวเจอร์ซีส์ เน็ตส์ ฮีทชนะรวดโดยเหว็ดเล่นได้เฉลี่ย 26.3 คะแนน 8.8 แอสซิสต์ 6.0 รีบาวด์ และเปอร์เซนต์การชู้ต 50% ถือเป็นผู้เล่นคนที่เจ็ดที่สามารถทำ 25 คะแนน 8 แอสซิสต์ 6 รีบาวด์และชู้ตอย่างน้อย 50% (อีกห้าคนที่เหลือล้วนอยู่ในหอเกียรติยศได้แก่ บ็อบ คอสี, ออสการ์ รอเบิร์ตสัน, วิลต์ แชมเบอร์เลน, แลร์รี เบิร์ด, แมจิก จอห์นสัน และ ไมเคิล จอร์แดน)
เหว็ดทำได้อีกครั้งในรอบสองเอาชนะวอชิงตัน วิซาร์ดส์ 4 เกมรวด ที่ผลงาน 31 แต้ม 7 รีบาวด์ 8 แอสซิสต์ต่อเกม ฮีทไปแพ้ดีทรอยต์ พิสตันส์ (ทีมป้องกันแชมป์) ใน 7 เกมตอนแข่งรอบชิงแชมป์คอนเฟอร์เรนซ์ตะวันออก เหว็ดทำคะแนนได้ 40 และ 36 ในเกม 2 และเกม 3 ขณะตอนที่เป็นไข้ ไซนัสอักเสบ และเจ็บเข่า เขาบาดเจ็บกล้ามเนื้อซี่โครงในเกม 5 ทำให้อดเล่นในเกม 6 และเล่นได้จำกัดในเกม 7 ความพ่ายแพ้ในเกม 7 ส่วนหนึ่งมาจากสภาพที่ไม่สมบูรณ์ของเหว็ด ซึ่งก่อนหน้านี้ฮีทนำพิสตันส์อยู่ 3 ต่อ 2 เกม
2005-2006
เหว็ดถูกเลือกให้เล่นในเกมรวมดาราเอ็นบีเออีกเป็นครั้งที่สอง และยังเป็นคนที่ทำให้ทีมชนะด้วย เขาเอาลูกที่อัลเลน ไอเวอร์สันชู้ตพลาดยัดกลับลงห่วง ตลอดฤดูกาลเหว็ดเล่นเฉลี่ย 27.2 แต้ม 6.7 แอสซิสต์ 5.7 รีบาวด์ 1.95 สตีล ในรอบเพลย์ออฟ เหว็ดเจ็บสะโพกแต่ก็กลับมาพาทีมชนะในรอบแรก และชนะดีทรอยต์ พิสตันส์ ในรอบชิงคอนเฟอร์เรนซ์ตะวันออก เข้ารอบชิงแชมป์เอ็นบีเอเป็นครั้งแรก
ในรอบชิง ฮีทพบกับดัลลัส แมฟเวอริกส์ เหว็ดยังโชว์ความสามารถของเขา ในเกม 3, 4 และ 5 เหว็ดทำได้ 42, 36 และ 43 คะแนนตามลำดับ พาทีมจากการเป็นรอง 0 ต่อ 2 เกม มานำ 3 ต่อ 2 เกม ฮีทชนะในเกม 6 และคว้าแชมป์เอ็นบีเอ และเหว็ดได้รับรางวัลเอ็มวีพีรอบไฟนอล
2006-2007
เหว็ดได้รับเลือกเล่นในเกมรวมดาราเป็นปีที่สามติดต่อกัน แต่ทีมฮีทก็เริ่มต้นฤดูกาลโดยชนะเพียง 20 แต่แพ้ถึง 25 เกม แต่หลังจากที่แชคหายจากการบาดเจ็บ และโค้ชแพท ไรเลย์ กลับมาหลังผ่าตัดสะโพกและหัวเข่า ฮีทมีท่าทีว่าจะทำผลงานในครึ่งหลังได้ดี แต่ในเกมระหว่างฮีทกับฮิวส์ตัน รอกเก็ตส์เมื่อ 21 กุมภาพันธ์
เหว็ดหัวไหล่ซ้ายเคลื่อนระหว่างการพยายามขโมยลูกจาก เชน แบททิเยร์ และต้องพาออกนอกสนามด้วยรถเข็น เหว็ดต้องตัดสินใจระหว่างการพักฟื้นและกลับมาเล่นใหม่ช่วงปลายฤดูกาล หรือผ่าตัดและรอจนฤดูกาลหน้ากว่าจะเล่นได้อีก เหว็ดประกาศเมื่อ 5 มีนาคมว่าจะเลื่อนการผ่าตัดออกไปและพักเพื่อพยายามกลับมาเล่นให้ทีมให้ทันช่วงเพลย์ออฟ
เหว็ดกลับมาเล่นอีกครั้งในวันที่ 8 เมษายน หลังจากพักไป 23 เกม ในเกมแรกที่กลับมา เหว็ดแข่งกับชาล็อต บ็อบแคทส์ทำได้ 12 คะแนน 8 แอสซิสต์ แต่แพ้ต่อเวลาที่คะแนน 103 ต่อ 111 เหว็ดจบฤดูกาลด้วยสถิติเฉลี่ย 27.4 แต้ม 7.5 แอสซิสต์ 4.7 รีบาวด์ และ 2.1 สตีล ต่อเกม
ในรอบเพลย์ออฟ เหว็ด เล่นได้เฉลี่ย 23.5 แต้ม 6.3 แอสซิสต์ 4.8 รีบาวด์ต่อเกม แต่ฮีทก็ตกรอบแรกโดยแพ้ ชิคาโก บูลล์ สี่เกมรวด โดยหลงจากเสร็จสิ้นเกมเพลย์ออฟดังกล่าว เหว็ดได้เข้ารับการผ่าตัดไหล่ซ้ายและเข่าซ้ายและจะต้องพักช่วงเดือนแรกของฤดูกาล 2007-08 ซึ่งหมายความ เขาจะต้องพลาดลงช่วยทีมสหรัฐฯ แข่งขันทัวร์นาเม้นต์โอลิมปิกส์ 2008 รอบคัดเลือกอีกด้วย
2007-2008
หลังจากพลาดลงเล่นเกมรอบคัดเลือกโอลิมปิกส์ เกมส์ 2008 ให้กับทีมบาสเกตบอลสหรัฐฯ ตลอดช่วงซัมเมอร์ ในที่สุด เหว็ดก็หายเจ็บไหล่และเข่าซ้าย กลับมาลงเล่นให้กับ ฮีท ได้อีกครั้ง ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2007 ก่อนที่เขาจะถูกเลือกให้ติดทีม All-Star Game เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยมีสถิติคะแนนได้ 24.6 แต้ม 6.9 แอสซิส 4.2 รีบาวน์ และ 1.7 สตีล ต่อเกมในฤดูกาลนี้ อย่างไรก็ดี ผลงานโดยรวมของ ฮีทก็ถือว่าไม่ดีนัก และ เหว็ด ก็ยังคงมีอาการบาดเจ็บที่เข่ารบกวนอยู่บ่อยครั้ง
Chris Bosh ผู้เล่นทรงคุณวุฒิ
ชื่อเต็ม - คริสโตเฟอร์ เวสสัน บอช
ฉายา - ซีบีโฟร์ (ไม่ได้ใช้แล้ว) ,ซีบีวัน,อวตาร , Mr. basketball
เกิด - 24 มี.ค 84 (28 ปี)
สัญชาติ - สหรัฐอเมริกา
ส่วนสูง - 6 ฟุต 11 นิ้ว (211 ซม.)
น้ำหนัก - 107 กิโลกรัม
ถนัด - ซ้าย
ตำแหน่งการเล่น - เพาเวอร์ฟอร์เวิร์ด , เซ็นเตอร์
ค่าเหนื่อยที่ได้รับในปัจจุบัน - 16.02 ล้านเหรียญสหรัฐ / ปี
เริ่มเล่นอาชีพในเอ็นบีเอ - ปี 2003
ทีมที่เคยสังกัด - โตรอนโต้ แร็ปเตอร์ส 2003-10 , ไมอามี่ ฮีต 2010-ปัจจุบัน
รางวัลที่ได้รับ - ออลสตาร์ 7 สมัย , เหรียญทองโอลิมปิก 2008
ฉายา - ซีบีโฟร์ (ไม่ได้ใช้แล้ว) ,ซีบีวัน,อวตาร , Mr. basketball
เกิด - 24 มี.ค 84 (28 ปี)
สัญชาติ - สหรัฐอเมริกา
ส่วนสูง - 6 ฟุต 11 นิ้ว (211 ซม.)
น้ำหนัก - 107 กิโลกรัม
ถนัด - ซ้าย
ตำแหน่งการเล่น - เพาเวอร์ฟอร์เวิร์ด , เซ็นเตอร์
ค่าเหนื่อยที่ได้รับในปัจจุบัน - 16.02 ล้านเหรียญสหรัฐ / ปี
เริ่มเล่นอาชีพในเอ็นบีเอ - ปี 2003
ทีมที่เคยสังกัด - โตรอนโต้ แร็ปเตอร์ส 2003-10 , ไมอามี่ ฮีต 2010-ปัจจุบัน
รางวัลที่ได้รับ - ออลสตาร์ 7 สมัย , เหรียญทองโอลิมปิก 2008
ประวัติ
"คริสโตเฟอร์ เวสสัน บอช" คือนามเต็มของนักบาสเก็ตบอลชื่่อดังของอเมริกา ปัจจุบันเจ้าตัวเล่นอยู่กับสโมสร ไมอามี่ ฮีต ในลีกเอ็บบีเอ บอช เริ่มเล่นบาสเก็ตบอลอย่างจริงจังในช่วงไฮสคูลที่รัฐเท็กซัส จนได้รับฉายาว่า "Mr. basketall" หลังจากจบเกรด 12 เจ้าตัวมุ่งหน้าสู่วิทยาลัยจอร์เจียเทคและใช้เวลาอยู่ที่นั่น 1 ปี ก่อนเข้าดราฟตัวสู่เอ็นบีเอในปี 2003 และได้รับเลือกจาก โตรอนโต้ แร็ปเตอร์ส เป็นลำดับที่ 4 ในรอบแรก (ปีเดียวกับ เลอบรอส์ เจมส์ - ดเวย์น เหว็ด และ คาร์เมโล่ แอนโธนี่ย์) สมัยที่เล่นกับ โตรอนโต้ บอชได้รับคำชื่นชมว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นดาวรุ่งที่ยอดเยี่ยมของลีก ชื่อเล่นของ คริส บอช ในสมัยนั้นคือ "CB4" ซึ่งมาจากการเอาอักษรตัวหน้าของชื่อ-นามสกุล บวกกับเบอร์เสื้อที่ใส่มารวมกัน ซึ่งช่วงที่อยู่แคนาดาฟอร์เวิร์ดวัย 28 ปีได้รับคัดเลือกเป็นผู้เล่นออลสตาร์ถึง 5 ครั้งและติดทีมชาติสหรัฐไปคว้าเหรียญทองโอลิมปิกที่ปักกิ่งได้สำเร็จ
"ซีบีวัน" เข้ามารับช่วงเป็นผู้นำของทีมต่อจากอดีตสตาร์ แร็ปเตอร์ส อย่าง วินส์ คาร์เตอร์ แบบไม่ขาดตกบกพร่อง และยังสามารถพาทีมเข้าสู่เกมเพลย์ออฟในฤดูกาล 2006-07 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี นอกจากนี้เจ้าตัวยังทำลายสถิติตลอดกาลของ แร็ปเตอร์ส ทั้งจำนวนแต้มที่ทำได้-รีบาวด์-บล็อก-การทำดับเบิ้ลๆ-การยิงฟรีโทรว์ รวมถึงนาทีที่ลงสนาม อย่างไรก็ตามหลังความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงนับตั้งแต่ฤดูกาล 2007-08 ทำให้ คริส บอช ตัดสินใจไม่ต่อสัญญาที่จะหมดลงในปี 2010 ทั้งๆที่เจ้าตัวรักทีมนี้มาก และเป็น ไมอามี่ ฮีต ที่ยื่นข้อเสนอที่ดีเข้ามา
หลังหมดยุค "เหว็ด-แช็ค" ไมอามี่ ฮีต ร้างความสำเร็จไปนานและต้องการสร้างทีมใหม่ แผนของอดีตแชมป์ปี 2006 คือการคว้าตัวซูเปอร์สตาร์ชื่อดังเข้ามาผนึกกำลังกับ เหว็ด ซึ่งเป็น เลอบรอน เจมส์ และ คริส บอช ที่ก้าวเข้าสู่ถิ่น อเมริกัน แอร์ไลน์ส อารีน่า โดย คริส บอช เปลี่ยนมาสวมเสื้อเบอร์ 1 และถูกเรียกจากแฟนฮีตว่า "ซีบีวัน" รวมถึงได้รับฉายาจากแฟนบาสชาวไทยว่า "อวตาร" (มาจากรูปร่างหน้าตาและทรงผมที่คล้ายตัวละครในหนังเรื่อง Avatar)
ภายใต้สีเสื้อลูกไฟเพลิง บอช โชว์ศักยภาพทันที ลงเล่นในฐานะตัวจริงไป 77 จาก 82 เกมตลอดฤดูกาลปกติ ทำเฉลี่ย 18.7 แต้มกับ 8.3 รีบาวด์ต่อเกมพา ฮีต จบด้วยการเป็นทีมแชมป์กลุ่มเซาธ์อีสต์ ก่อนทะลุยาวในรอบเพลย์ออฟผ่านทั้ง บอสตัน และ ชิคาโก้ คว้าแชมป์สายตะวันออก แม้สุดท้ายจบไม่สวยเมื่อต้องพลาดท่าให้กับ ดัลลัส ในรอบชิงชนะเลิศ 2-4 เกม ฤดูกาล 2011-12 ฮีต กลับมาใหม่ด้วยขุมกำลังที่ไม่เปลี่ยนไปมากนัก คริส บอช ยังเป็น 1 ใน 3 บิ๊กเนมที่ ฮีต ฝากความหวังเอาไว้และยังคงโลดแล่นสร้างผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่า "ซีบีวัน" ถ้าไม่เจ็บหนักไปซะก่อนเราจะได้เห็นการกำหมัดดีใจของฟอร์ดวิร์ดร่างโย่งรายนี้ไปอีกนาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น